ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

สอนเด็ก

๒๙ พ.ย. ๒๕๕๒

 

สอนเด็ก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาสังคมไทยเนี่ย สังคมไทยเห็นไหม เวลาไปวัดไปวาเนี่ยน่าเบื่อหน่าย ทุกคนจะเบื่อหน่ายไปวัดมาก แล้วถ้าไปวัดแล้วก็ไปนั่งหลับ ไปนั่งหลับไง เพราะไปวัดก็ไปทำบุญกุศล แต่ทำกุศลคืออะไร ไปทำพิธีกรรมเฉย ๆ ไง แต่เวลามาวัดป่าเนี่ย วัดป่าจะสอนถึงข้อเท็จจริง สัจจะความจริง ศาสนานี่ละเอียดมาก ศาสนาจะถามว่า เนี่ยที่นั่งกันอยู่นี่มาจากไหน นั่งอยู่เนี่ยมาจากไหน มาจากพ่อจากแม่

ถ้ามาจากพ่อจากแม่ เราต้องกตัญญูกตเวที คนเราเห็นไหม ทุกคนมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจ ทุกคนก็มีพ่อแม่หมดใช่ไหม ทุกคนมีพ่อมีแม่ พ่อแม่เราจะมั่งมีศรีสุข พ่อแม่ทุกข์จนเข็ญใจก็คือพ่อแม่ พ่อแม่น่ะเราปฏิเสธความเป็นพ่อแม่ไม่ได้ อย่างเช่นครูบาอาจารย์เรายังปฏิเสธได้นะ อย่างถ้าเป็นครูบาอาจารย์เนี่ย ครูบาอาจารย์องค์นี้พูดแล้วไม่ตรงกับจริตเรา ครูบาอาจารย์องค์นี้พูดแล้วเนี่ยมันขัดหูเรา เราสามารถเลือกได้

พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วนี่เห็นไหม พระพุทธเจ้าสอนไว้เลยนะ ถ้าพระเราเห็นไหม เวลาบวชแล้วต้องขอนิสัย เวลาเราธุดงค์ไปเนี่ยเราขอนิสัย ถ้าไปเจออาจารย์ใช่ไหม ให้รอกัน ๗ วัน ให้ไปถึงรอกัน ๗ วันดูว่าเรากับอาจารย์ มันจะมีมุมมอง มีทัศนะคติตรงกันไหม ถ้าไม่มีทัศนะคติ ความเห็นไม่ตรงกัน เราจะให้เก็บของไปจากวัดนั้นเลย เราไม่อยู่ด้วยเห็นไหม พระพุทธเจ้าให้เลือกอาจารย์ได้ไง ให้เลือกได้ แต่ถ้าเรามีทัศนะคติตรงกัน คืนวันที่ ๗ วันที่ ๗ ถ้าไม่ขอนิสัย คืนวันที่ ๘ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ทันทีเลย

ถ้าวันที่ ๘ ปั๊บจะเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะถือว่าอยู่กับครูบาอาจารย์แล้วไม่ขอนิสัย คำว่าไม่ขอนิสัย ก็เหมือนเราลูกศิษย์ไม่ยอมรับครูบาอาจารย์ของเรา เวลาอาจารย์มาสอนเนี่ยค้านในใจ ค้านในใจเห็นไหม อาจารย์องค์นี้สอนไม่ดี สอนไม่ดี อ้าว แล้วเป็นลูกศิษย์สอนดีสอนไม่ดีเราต้องแก้ไขของเราเห็นไหม เราจะบอกว่าอาจารย์ ครูบาอาจารย์เนี่ยเลือกได้ แต่พ่อแม่เราเลือกไม่ได้นะ

พ่อก็มีคนเดียว แม่ก็มีคนเดียว พ่อแม่จะดีหรือไม่ดี ท่านก็เป็นพ่อแม่ คำว่าพ่อแม่ เราต้องเชื่อฟัง เพราะคำว่าพ่อแม่เขาผ่านโลกมา เขาว่าผ่านโลกเห็นไหม ดูสิดูอย่างสังคมไทยเรา พ่อแม่เป็นชาวนา ส่งลูกเรียนจนได้ปริญญา ได้อะไรต่าง ๆ ไม่กล้าบอกว่าฉันเป็นลูกชาวนานะ แล้วพ่อแม่ก็ต้อง คือพ่อแม่ ดูสิข้าราชการผู้ใหญ่เห็นไหม เวลาออกมาเป็นอธิบดีนะ เป็นเจ้านายนะ พอกลับบ้านเป็นคุณหนู

พ่อแม่ก็เห็นลูกเป็นเด็กวันยังค่ำ พ่อแม่จะเห็นลูกเราก็คือลูกเรานะ ลูกเราจะมีตำแหน่งหน้าที่ขนาดไหน ลูกเราจะเป็นนายกรัฐมนตรีก็คือลูก แต่พวกเรานะเห็นตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นเรื่องใหญ่โต พอถึงเวลารักษาหน้า รักษาสังคม แต่ไม่ยอมรับเรื่องพ่อแม่ของเรา พ่อแม่ของเราเนี่ยมันจะมีประสบการณ์ในชีวิต ประสบการณ์ในชีวิตเรียนด้วยชีวิตจริง ไม่ใช่เรียนในห้องเรียนอย่างพวกเรา

พวกเราเรียนในห้องเรียนใช่ไหม เราเรียนเราเข้าใจ เข้าใจอะไร เข้าใจในวิทยาศาสตร์ ใช่ วิทยาศาสตร์เนี่ยนะ ทำให้สังคมเจริญ เจริญในวัตถุ แต่เสิมคนโบราณเรา เห็นฟ้าแลบก็กลัวแล้ว เห็นไฟเนี่ยกราบบูชาไฟ กราบบูชาภูเขาเหล่ากานะ ถือผีถือสางกัน เพราะไม่มีที่พึ่ง

แต่ในปัจจุบันนี้พุทธศาสนาเกิดขึ้นมาแล้ว พระพุทธศาสนาสอนให้พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมสำคัญยังไง พระธรรมยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์อีก เนี่ยวิทยาศาสตร์เพิ่งพิสูจน์ได้นะ สองพันกว่าปีแล้วนะ เขาพึ่งพิสูจน์ได้ว่าคนนี่เกิดยังไง เกิดในท้องเกิดยังไง แต่พระพุทธเจ้าพูดมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว เกิดจากสเปิร์มของพ่อกับไข่ของแม่ แล้วมันฟักตัวเห็นไหม จะเป็นน้ำมันใส น้ำมันข้น เกิดเป็นก้อนเนื้อ เกิดเป็นอะไร

นี่พระพุทธเจ้าบอกมาแล้วสองพันกว่าปีนะ วิทยาศาสตร์เพิ่งพิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้ตั้งแต่วงการแพทย์เพิ่งเจริญนี้เอง ในการผ่าสมองเนี่ยสองพันกว่าปีที่แล้วน่ะ หมอชีวกผ่าสมองเลย ผ่าสมองเลย โบราณน่ะเราคิดกันเนี่ย บอกว่าธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ทางความรู้สึก วิทยาศาสตร์พิสูจน์ความหัวใจ ว่าหัวใจมันเกิดมาจากไหน ที่นั่ง ๆ กันเนี่ยมาจากไหน

แล้วมากับพ่อแม่มันเป็นเวรเป็นกรรมนะ มันเป็นเรื่องของพ่อแม่เป็นสายบุญสายกรรม เราเกิดกับพ่อแม่มา อันนี้มีบุญคุณมาก กตัญญูกตเวที เรื่องของศาสนาให้กตัญญูกตเวที เรื่องความเข้าใจ เรื่องความกตัญญูกตเวทีมันจะย้อนกลับมาที่เรา ถ้าเรามีกตัญญูเราคิดถึงพ่อแม่เรา จะทำสิ่งใดนะมันจะห่วงพ่อห่วงแม่ไง ประสาธรรมดา

เราคนพูดเนี่ยเราเคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน เมื่อก่อนเป็นวัยรุ่นน่ะมุมมองเราก็เป็นเหมือนเรานี่แหละ มุมมองของเรามันมุมมองโดยแบบว่าใส ใสสะอาด พลังมันสูงมาก พลังงานของวัยรุ่น นี้พอมันสูงมากขนาดไหน ถ้าเรามีที่ยับยั้ง มันจะไม่มีอะไรดั่งใจหรอก พ่อแม่นี่ขัดใจไปหมดเลย เห็นไหมเวลาเขาพากันมา มีพ่อแม่เขาพากันมา ไอ้พ่อแม่กับลูกนะ ลูกนี่รักพ่อแม่มาก รักพ่อแม่มากเลย แล้วก็เบื่อพ่อแม่สุด ๆ เลย เพราะพ่อแม่จะพูดอยู่ประจำ เนี่ยเราพูด พ่อแม่ก็รักลูกมากแต่เพราะพ่อแม่ถือสิทธิว่าเนี่ยลูกของเรา เหมือนสมบัติของเราจะทำยังไงก็ได้ มันเลยไม่มีการปรึกษาหารือกัน พ่อแม่ก็รักลูกมาก ก็เอาแต่ใจของพ่อแม่ ตามสิทธิ์ว่าลูกของเราจะเรียกร้องยังไงก็ได้ ไอ้ลูกก็รักพ่อแม่มากเลย แต่พ่อแม่ก็พูดจ้ำจี้จ้ำไช จนน่าเบื่อมากเลย เนี่ยถ้ามีคนกลางพูดปั๊บมันจะเข้าใจตรงนี้ได้ไง ต่างคนต่างทำความเข้าใจนะ ปรับจูนเข้าหากันได้นะ มันจะมีความสุข ไม่งั้นมันไม่มีคนกลางไง ถ้ามีคนกลางมันจะปรับจูนตรงนี้ได้

แต่นี้ถ้าไม่มีคนกลาง เราต้องย้อนกลับมาที่เรา เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม เราจะเป็นปัญญาชนใช่ไหม ถ้าเรื่องอย่างงี้เรายังควบคุมไม่ได้ เรายังยับยั้งชั่งใจเราไม่ได้เลย แล้วเราจะไปบริหารจัดการใคร เราจะเป็นผู้นำไปข้างหน้า เราจะออกไปบริหารจัดการข้างหน้า เราจะรับผิดชอบสังคม แล้วพ่อแม่ของเราอย่างงี้ ทำไมเรารับรู้ไม่ได้ เราบริหารไม่ได้ ถ้าเราบริหารของเราได้เห็นไหม พ่อแม่เห็นไหม ลูกอภิชาตบุตร ลูกที่เกิดดีกว่าพ่อแม่ ลูกที่เกิดมาเสมอพ่อแม่ ลูกที่เกิดมาต่ำกว่าพ่อแม่ มันเวียนตายเวียนเกิด มันผลัดกันเป็นนะ เราเป็นลูกนะ ต่อไปก็จะเป็นพ่อคนแม่คนเหมือนกัน แล้วพอเราเป็นพ่อคนแม่คนนะ เราก็จะมีความคิดเหมือนพ่อแม่เราเลย

นี่เห็นไหม เวลาพระเจ้าพิมพิสารเป็นกษัตริย์ ลูกคืออชาตศรัตรู อชาตศรัตรูอยากได้สมบัติมาก แต่ด้วยความคิดเป็นคนดีอยู่ ก็คิดว่าพ่อต้องให้สมบัติเราแน่นอน พระเทวทัตเข้าไปยุแหย่ เข้าไปยุเลยนะ ยุบอกว่า ยุว่าต้องให้ยึดอำนาจ แต่อชาตศรัตรูบอกว่าพ่อก็ต้องให้อยู่แล้ว ไม่ยึดหรอก แล้วรู้ได้ยังไงว่าใครตายก่อน ยุทุกวัน ยุทุกวันเห็นไหม สุดท้ายนะจับพ่อขังไง ทีนี้จะปฏิวัติ เอาอาวุธเข้าไปจะไปฆ่าพ่อ ทีนี้ทหารรักษาพระองค์ตรวจค้นเจอ พอเจอก็จับก่อน พอจับก่อนธรรมดาก็ต้องประหารชีวิต แต่พ่อทำไม่ลงเห็นไหม

พ่อถามลูกเลยว่าลูกอยากได้อะไร ลูกอยากได้อำนาจ พ่อสละให้เลย พอสละให้เลยจะฆ่าพ่อก็ฆ่าไม่ลง คนน้ำใจก็ยังมีน้ำใจอยู่ เอาพ่อไปขังไว้ นี้พ่อเป็นพระโสดาบันเห็นไหม พอขังไว้ไม่ให้อาหารไม่ให้อะไรทั้งสิ้น จะให้ตายไปเองไง ให้ตายไปเองพระโสดาบันมันก็เสินจงกรม พอเสินจงกรมอยู่ ก็ถามหาเรียกว่าตายรึยัง ยังซักที ไม่ตายซักที ทำอะไรอยู่ เสินจงกรมอยู่ ให้ไปจับนะ เอาฝ่าเท้าขึ้นมาแล้วเอามีดกรีด ไม่ให้เสินจงกรม ไม่ให้เสินจงกรมก็คลานเอา คลานเอานะแล้วไม่ให้อาหาร

แต่นี้แม่ไง ไม่ให้อาหารใช่ไหม ก็เอาอาหารเนี่ยทำเป็นซุป ให้เอาผ้าชุบ ชุบเสร็จแล้วก็ห่มเข้าไป แล้วเอาไปให้พ่อเลียกิน เนี่ยรักษาชีวิตมาได้ ถึงสุดท้ายนะ ก็พ่อไม่ตายซักที นี่จะพูดตรงนี้ พอพ่อไม่ตายซักทีเนี่ย ตัวเองก็เป็นมกุฎราชกุมารมีมเหสีเหมือนกัน นี้พอถึงเวลาปั๊บเนี่ย มันก็มีข่าวมาสองทางเลย คนมาส่งข่าวอชาตศรัตรูทั้งสองทาง ทางหนึ่งคือลูกเกิด อีกทางหนึ่งคือพ่อตาย มาเจอกันสองคน

พอเข้าไปสองคนเสร็จปั๊บ จะเข้าไปรายงานอชาตศรัตรู จะให้รายงานเรื่องของใครก่อน ตกลงกันเองว่ารายงานเรื่องของลูกก่อน พอเข้าไปหาปั๊บก็ไปบอกว่า ลูกเกิดแล้วเป็นผู้ชาย โอ้โห จิตใจมันรักนะ รักลูกมาก พอรักลูกมากก็คิดถึงว่า พ่อก็รักเราอย่างงี้ไง พอว่าพ่อก็รักเราอย่างงี้ คิดถึงหัวอกหัวใจของพ่อ บอกให้ปล่อยพ่อ เอาพ่อออกมา ปล่อยพ่อออกมา อีกคนเข้ามารายงาน พ่อตายแล้ว พ่อตายแล้ว

เนี่ย ต่อไปเราจะเป็นพ่อคนแม่คน แล้วเราจะได้รับอารมณ์ความรู้สึกอันนี้ ใครที่เป็นพ่อคนแม่คน คิดถึงลูกสิ แล้วมันจะรักลูกแค่ไหน ถ้าเราคิดอย่างนี้นะเราจะทำตัวเราเป็นคนดี เราจะคิดถึงพ่อถึงแม่เรา เพราะต่อไปมันเป็นวัฏจักร เราก็เป็นลูกมาก่อน แล้วต่อไปเราก็จะเป็นพ่อคนแม่คน พ่อคนแม่คน ตรงนี้สำคัญมาก ตรงที่อชาตศรัตรูเนี่ย พอบอกว่าลูกเกิดน่ะ มันทันทีนะ

สังเกตได้ไหม เขาลงข่าวไอ้พ่อแม่ลูกคนแรก เห่อนั่นน่ะ ถ้าใครมีลูกคนแรกล่ะ อู้หูย ให้ข่าวนะ โอ้ย รักมาก รักมาก พอคนที่สองที่สามนะชักเบื่อละ เบื่อ แต่คนแรก ความผูกพันอันนี้ เราจะบอกว่ามันเป็นข้อเท็จจริงในศาสนานะ ศาสนานี่สอนเรื่องความรู้สึกเพราะนามธรรม การเกิด จิต ปฏิสนธิจิตมาเกิดเป็นเรา พอเกิดเป็นเราเนี่ยเราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าเรามีศาสนาเป็นที่พึ่ง

พอมีศาสนาเป็นที่พึ่ง เราอยู่ใกล้ศาสนา ศาสนาสอนใคร สอนใจเราให้เป็นคนดี ใจเราเป็นเจ้าของร่างกายเรานี้ ร่างกายนี้เป็นของชั่วคราว แต่ความรู้สึกมันจะอยู่กับเราตลอดไป ความรู้สึกเนี่ยมันเพราะ ปฏิสนธิจิตไปเกิดในไข่ถึงมานั่งเป็นเรา แล้วมันชีวิตเราหนึ่งชีวิตนะ แล้วพอถึงที่สุดแล้ว จิตมันจะออกจากร่างนี้ไป ร่างนี้ชราคร่ำคร่าไป แต่จิตไม่มีอายุ จิตนี้ไม่เคยชราคร่ำคร่า จิตนี้มันจะคงที่ของมันตลอดไป

แต่พอร่างกายชราคร่ำคร่าเนี่ย จิตนี้มันอยู่ในความชราคร่ำคร่านี้ มันก็โดนทุกข์ โดนโรคภัยไข้เจ็บบีบคั้น พอบีบคั้นมันทนไม่ไหวนะ ทุกคนรักชีวิตมาก แต่พอทุกคนเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วทุกคนก็เบื่อหน่ายมาก อยากจะพ้นจากความทุกข์อันนี้ไป พ้นจากร่างกายที่บีบคั้นนี้ไป จิตออกจากร่างนี้ไป จิตก็ไปเกิดใหม่ จิตก็ไปเกิดใหม่ จิตนี้ไม่มีการชราคร่ำคร่า ศาสนาสอนตรงนี้เพราะ

เพราะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเนี่ย พระโพธิสัตว์เห็นไหม ดูสิเรานั่งอยู่ด้วยกันเนี่ย ทุก ๆ คนน่ะจริตนิสัยจะไม่เหมือนกัน พ่อแม่เดียวกัน ลูกในท้องเดียวกัน นิสัยก็ไม่เหมือนกัน เห็นไหมเพราะเนี่ย ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สิ่งที่พัฒนาการมาของจิต จิตนี้เหมือนพันธุ์พืช พันธุ์พืช พันธุกรรมของมันเขาต้องคัดสายพันธุ์ของมัน

จิตนี้ ถ้ามีศาสนา ศาสนามันจะคัดสายพันธุ์ของจิต จิตจะทำดีทำชั่วเนี่ยเพราะอะไร เพราะตัวศาสนา ตัวสัจธรรม ตัวข้อเท็จจริงนี้ ทำดีทำชั่วมันตกผลึกลงที่ใจ พอตกผลึกลงที่ใจคนทำดีไว้มาก ๆ คนทำไม่ดีต่าง ๆ ความคิด ปฏิภาณไหวพริบต่าง ๆ มันจะทำให้เรามีจุดยืน ให้เราไม่ไปตามกระแส กระแสของโลกนะ โลกมันจะดึงเราไปตลอด เห็นไหมศาสนาสอนที่นี่ ถ้าศาสนาสอนลงที่นี่เห็นไหม สอนลงในหัวใจของเรา

แล้วศาสนาอยู่ที่ไหนน่ะ ศาสนาก็อยู่ในตู้พระไตรปิฎกไง ศาสนาอยู่ที่หนังสือ ศาสนาอยู่ที่ทฤษฎีไง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างงั้นเลย พระพุทธเจ้าสอนเรื่องปริยัติ คือการศึกษาแล้วมีภาคปฏิบัติ มีภาคปฏิบัตินะ อาหารมาตั้งอยู่ที่นี่ทั้งสำรับหนึ่ง ไม่มีใครได้กินมันเลย อาหารก็ตั้งอยู่จนมันบูดมันเน่า ถ้าอาหารนี้ตั้งอยู่ที่นี่ ใครหยิบอาหารนั้นใส่ปาก ใครได้กินอาหารนั้น อาหารนั้นจะเข้าถึงท้องของเรา

ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าวางไว้แล้ว ถ้าใครกระทำไง คิดดีมันก็เป็นความดีของเรา ความคิดบ่อย ๆ การตอกย้ำ ย้ำคิดย้ำทำ ย้ำคิดย้ำทำเห็นไหม มันทำให้ความคิดเราดีขึ้น ๆ ถ้าเราย้ำคิดย้ำทำดี ๆ นี่ไงพันธุกรรมทางจิต ถ้าจิตมันมีพันธุกรรมของมัน มันแก้ไขของมันเห็นไหม มันจะแก้ไขของมัน ถ้ามันแก้ไขของมัน มันจะเปลี่ยนแปลงของมัน แล้วบุญกุศลมันเกิดที่นี่ แล้วการเสียสละข้างนอกเสียสละกันเพื่ออะไร

เนี่ยวันนี้มาทำไม วันนี้มานะก็มาเพื่อศึกษาไง บอกว่าเวลาฟังพระเทศน์เนี่ยน่าเบื่อมาก พระเทศน์ทำให้นั่งหลับ นั่งหลับ นี้ถ้านั่งหลับเพราะอะไร เพราะเป็นเรื่องชาดกไง ถ้าพระเทศน์โดยพระทั่วไปเนี่ยเขาจะเทศน์ชาดก เขาจะถึงนิทาน นิทานนี้ คำว่าชาดกเนี่ยนะ มันเป็นภพชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า นี้พอเราไปมองกันว่ามันเป็นนิทาน มันเป็นนิทานมันไม่มีข้อเท็จจริง เพราะมันไม่มีข้อเท็จจริงไง

วันนี้เป็นเรา แล้วเมื่อวานเราปฏิเสธได้ไหม เมื่อปีที่แล้วเราเกิดเนี่ย นี้อายุเท่าไหร่ ตั้งแต่เด็กมาเราปฏิเสธได้ไหม เราปฏิเสธไม่ได้เรารู้ของเรา ตามข้อเท็จจริงนี้ มันเป็นข้อเท็จจริงของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถึงเอาออกมาแสดงเห็นไหม แต่เราว่าพอเป็นนิทานเนี่ย เราให้ค่ามันต่ำเกินไปไง เราให้ค่ามันเป็นนิทาน

ดูสิเห็นไหม สมุทรปราการเนี่ย ทางคติโบราณของไทย น้ำขึ้นให้รีบตัก ถ้าน้ำขึ้นให้รีบตัก ถ้าเราตีความว่าคือให้คนเห็นแก่ตัว แต่ถ้าน้ำขึ้นให้รีบตักนะ ถ้าน้ำขึ้นไม่ตักนะ เวลาน้ำลงเห็นไหม น้ำขึ้นน้ำลงเขาบอกว่าให้ขยันหมั่นเพียร เวลาน้ำขึ้น เวลาเรามีโอกาสเราต้องทำของเรา ตอนนี้น้ำขึ้นเรามีโอกาสศึกษานะ ดูเด็กที่ไม่มีโอกาสศึกษาสิ เขาต้องไปศึกษาประสบการณ์ชีวิตของเขา เขาต้องทำงานไปเรียนไปเห็นไหม เนี่ยน้ำขึ้นให้รีบตัก

ถ้าน้ำขึ้นให้รีบตัก ตอนนี้เราเป็นนักเรียนเราเป็นนักศึกษา เราต้องศึกษาเพื่อเป็นความรู้ของเรา พอศึกษาเพื่อเป็นความรู้ของเรา พอโตขึ้นมา ดูสิคนที่ประสบความสำเร็จแล้วน่ะ เขาไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าของเขาเนี่ย เขาไปขอบคุณใคร เนี่ยเวลาโตขึ้นมาเห็นไหม อาจารย์เนี่ยเหมือนเรือจ้างใช่ไหม พยายามเอาเราเข้าสู่ฝั่ง เข้าสู่ฝั่ง ตอนนี้เป็นโอกาสของเรา น้ำขึ้นให้รีบตัก เราต้องศึกษา เราต้องมีเวลา เราต้องศึกษาข้อเท็จจริง เราต้องศึกษาหาความรู้ของเรา โตขึ้นมาแล้วมันจะรู้เลยว่าสิ่งใดถ้าใครมีข้อมูลดี เหมือนทหารเลย

ทหารเวลาไปฝึกทหารนะ คนไหนถ้าฝึกทหารเข้มแข็ง ฝึกแล้วเขามีทางวิชาการของเขา เวลาเขาออกรบนะ เขาจะเอาตัวรอดของเขาได้ ทหารคนไหนเวลาเขาฝึกนะ เขาฝึกนะ เขาอู้ เขาไม่ทำอะไรของเขานะ เวลาเขาไปเจอเหตุการณ์เฉพาะหน้าเขาแก้ไขไม่ได้หรอก ชีวิตเขาต้องไปแขวนบนเส้นด้าย เพราะเขารักษาชีวิตเขายังไม่ได้เลย แล้วเขาจะไปปกป้องประเทศชาติได้ยังไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีการศึกษา เรามีข้อมูลของเรา เรามีวิชาการของเรา เราออกไปประกอบสัมมาอาชีพ เราจะมีหลักการของเรา ฉะนั้นอยู่กันเป็นเพื่อน ใช่ เราอยู่กันเป็นเพื่อนนะ เพื่อนเราต้องอยู่ด้วยกัน แต่อยู่ด้วยกันขนาดไหนเนี่ย ความจำเป็นก็อยู่ที่ตัวเราเอง ตัวเราเองก็ต้องมีหลักของเรา ถ้ามีหลักของเรา เราต้องศึกษาของเรา พยายามดูแลตัวเราเพื่อเรา เพื่อเราก็เพื่อใคร เพื่อเราก็ย้อนกลับมาเรื่องที่พ่อแม่ไง

พ่อแม่นะ ทุกคนน่ะพ่อแม่เนี่ย ต้องการอย่างเดียว ต้องการให้ลูกเรามีความรู้ ต้องการให้ลูกเรายืนอยู่ในสังคมได้ พ่อแม่เนี่ยนะเอาอะไรไปฝากพ่อแม่ ก็ไม่เท่ากับความสำเร็จของเราไปฝากพ่อแม่ พ่อแม่ต้องการความสำเร็จของลูก ลูกมีความสำเร็จ เรียนจบ มีงานมีการทำ พ่อแม่มีความสุขมาก เนี่ยความรักของพ่อของแม่เป็นความรักที่สะอาดบริสุทธ์ ไม่หวังสิ่งตอบแทนจากลูกเลย

ลูกนะเอาเงินมาให้พ่อแม่เนี่ยนะ พ่อแม่ที่ดีนะไม่รับ พ่อแม่จะถามว่า เอ็งมีเงินเหลือเท่าไหร่ พ่อแม่กลับห่วงเราว่าเราจะมีเงินใช้หรือไม่มีเงินใช้ ไม่ใช่เราเอาเงินไปให้พ่อแม่ พ่อแม่จะรับเงินจากเรานะ พ่อแม่จะถามว่า ในกระเป๋าเราน่ะมีเงินเหลือเท่าไหร่ ถ้ามีเงินเหลืออยู่พอใช้ พ่อแม่ถึงจะเอา ถ้าพ่อแม่ไม่เอานะ ถ้าพ่อแม่จะเอาของเรามันอยู่อีกกระบวนการหนึ่ง กระบวนการหนึ่งที่ว่า พ่อแม่ที่เรียกร้องจากลูกอีกกระบวนการหนึ่ง กระบวนการหนึ่งเห็นไหม

บอกเมื่อกี้แล้วตั้งทีแรกแล้วว่า พ่อแม่เราจะมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจ พ่อแม่จะเป็นคนดี พ่อแม่จะเป็นคนไม่ดีขนาดไหน มันเป็นจริต เป็นนิสัย เหมือนแร่ธาตุ แร่ธาตุในสังคมเนี่ยดูสิในโลก แร่เหล็ก แร่หินเห็นไหม สินต่าง ๆ เนี่ย แร่ธาตุมีมากมายไป เขาว่าเข้ากันโดยธาตุ คนเราเวลาคบกันเห็นไหม ความชอบเนี่ย เข้ากันโดยธาตุ ธาตุมันเข้ากัน น้ำเข้ากับน้ำ น้ำมันเข้ากับน้ำมัน มันแยกจะแยกกันไปเลย

ความพอใจความชอบของเรา ชมรมต่าง ๆ เนี่ย ชมรมใครเข้าชมรมไหน มีความชอบสิ่งใด เขาจะไปตามของเขา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าแร่ธาตุเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นเวรเป็นกรรม เป็นเวรเป็นกรรมเราเกิดในสถานะอย่างงั้น อย่าน้อยใจ คนเราเกิดมาถ้าพ่อแม่มั่งมีศรีสุข สิ่งใดที่เราปรารถนา พ่อแม่ก็หยิบยื่นให้เราได้ แต่ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถหยิบยื่นให้เราได้ แต่พ่อแม่ให้สิ่งที่มีค่าที่สุดแล้ว คือชีวิตเรา

ชีวิตเรามีคุณค่าขนาดไหน เราต้องเห็นใจตรงนี้นะ เพราะคนเราน่ะมันก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทุกคนน่ะ ดูสิเวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วเห็นไหม เวลาพราหมณ์นิมนต์ให้จำพรรษายังลืมใส่บาตร เนี่ย พระทำอาหารให้สุกเองไม่ได้ พระอานนท์ไปบิณฑบาต มันตกข้าวยากหมากแพงไง ไม่มีสิ่งใดเลย บังเอิญมันมีพ่อค้าโคต่าง เขาเลี้ยงม้าเอาม้ามาขาย เขาให้ข้าวกล้องม้าวันละหนึ่งทะนาน เขาเลยให้พระวันละหนึ่งทะนาน เวลาพระได้มาแล้วนะต้องมาบดให้เป็นผง เสร็จแล้วเอาน้ำพรม ๆ เนี่ย พระพุทธเจ้าฉันอย่างงั้นน่ะ

นี้ขนาดพระพุทธเจ้านะ มีฤทธิ์มีเดชทั้งนั้น เวลาขณะนั้นนะ พระโมคคัลลานะ ถ้าพูดงี้ไม่เชื่อแล้วล่ะ พระโมคคัลลานะทนไม่ได้ พอทนไม่ได้ก็ขอพระพุทธเจ้า บอกว่าจะให้พระเนี่ยจับมือต่อ ๆ ๆกัน แล้วพระโมคคัลลานะจะจับมือพระองค์นั้น แล้วเหาะ..(หัวเราะ) เด็กมันจะไม่เชื่อ แล้วเหาะจะพาไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่งไง เพราะทวีปนี้มันข้าวยากหมากแพงใช่ไหม มันเกิดภัยแล้ง จะจับมือนะแล้วเหาะไป เหาะไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่งแล้วกลับมาฉัน เอามาถวายพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าไม่อนุญาต พระพุทธเจ้าไม่อนุญาต เราจะบอกว่าถ้าเราไม่เชื่อใช่ไหมว่า พระโมคคัลลานะพูดกับพระพุทธเจ้าบอกว่าให้พระจับมือต่อ ๆกัน แล้วพระโมคคัลลานะจะเป็นคนจับหัวแถว แล้วจะพาเหาะไปเนี่ย ถ้าไปพูดกับพระพุทธเจ้า ถ้าเรื่องนี้ไม่จริง พระพุทธเจ้าจะปล่อยให้พูดไหม มันเหมือนกับครูเขารู้จริง นักเรียนจะมาหลอกครู ครูจะยอมให้หลอกไหม ครูก็ต้องไม่ยอม ยกเว้นแต่ครูไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าต้องรู้แน่นอน

พระพุทธเจ้าห้าม ห้ามไม่ให้ทำ ห้ามทุกอย่างเลย จนพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์ไงทนไม่ไหว ง้วนสินเหมือนสินสอพองเนี่ย ง้วนสินจากสินเนี่ย ถ้าพลิกสินขึ้นมามันจะหอมมาก มันจะกินได้ พระโมคคัลลานะบอกว่า ข้าพเจ้าขอพลิกง้วนสิน แล้วเธอทำยังไง ประชาชนน่ะ ในหมู่บ้านประชาชนทั้งเมืองจะทำยังไง ข้าพเจ้าจะทำมือของข้าพเจ้าให้เป็นเหมือนทวีปเลย แล้วจะหนุนไว้ เอาประชาชนทั้งหมดมาอยู่บนมือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะพลิกง้วนสินขึ้นมา เสร็จแล้วข้าพเจ้าจะเอาประชาชนทั้งหมดไปวางไว้ในที่เสิม พระพุทธเจ้าก็ไม่อนุญาต

นี่ขนาดพระพุทธเจ้าไม่อนุญาตนะ แล้วก็ให้ทนเอา ทนความลำบากอย่างนั้น พอทนความลำบาก ออกพรรษาแล้วพระพุทธเจ้าชมพระที่จำพรรษาว่า พวกเธอชนะแล้ว พวกเธอชนะแล้ว ชนะความกดดันของใจไง ชนะใจของตัวเองเห็นไหม พอชนะใจตัวเองน่ะ มารดลใจพราหมณ์ด้วย เพราะพราหมณ์นี้บอกพระพุทธเจ้าจำพรรษา พอออกพรรษาพราหมณ์ถึงนึกได้ พอพราหม์นึกได้ พราหมณ์มาขอโทษนะ มาขอโทษพระพุทธเจ้า แล้วเลี้ยงพระพุทธเจ้าด้วย

เนี่ยเวลาเวรกรรมไง เราจะย้อนกลับมาว่า นี่ขนาดองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพุทธศาสนานะ มีพระที่มีฤทธิ์มีเดช ฤทธิ์เดชนี้มันเป็นเหมือนความรู้สึกของเรา คนมีเซ้นส์ดี ๆ ต่าง ๆ ฤทธิ์เดชเนี่ยมันมีเพราะว่าบารมีธรรมของอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา แต่ละองค์ไม่เหมือนกัน แต่ฤทธิ์เดชนี้ก็เป็นฤทธิ์เดชประจำตัวนั้น ฤทธิ์เดชประจำจิตดวงนั้น พระพุทธเจ้าไม่ให้เอามาใช้

พระพุทธเจ้าบอกว่า สิ่งที่เป็นคุณสมบัติของเรา ปัญญาของเรา ความรู้สึกของเรา ความสุขความทุกข์ของเราในหัวใจของเรา มันเป็นสมบัติของเรา ถ้าสมบัติของเรา เราจะเจือจานเขาได้ อย่างเช่นเพื่อนฝูง เราจะเจือจานเขาได้ด้วยการแนะนำ ด้วยการแนะนำด้วยเหตุด้วยผล ถ้าด้วยเหตุด้วยผลอย่างงี้ ออกมาเนี่ยเป็นปัญญา แต่ด้วยฤทธิ์เดชอย่างงี้ออกมาใช้เนี่ย คนที่ทำไม่ได้มันจะมีปัญหา

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้พระแสดงฤทธิ์แสดงเดชทั้งหมด ถ้าพระแสดงฤทธิ์แสดงเดชนะ ศาสนาพุทธเราจะไม่ยั่งยืนอย่างนี้ เพราะฤทธิ์เดชเนี่ยมันแสดงออกไปมันเป็นเรื่องของฌานโลกีย์ มันเป็นเรื่องของโลก ถ้าบอกการเหาะเหินเสินฟ้า อภิญญา ๖ รู้วาระจิต รู้ต่าง ๆ ถ้ามันเป็นประโยชน์นะ ในปัจจุบันนี้ศาสนาพุทธแทบจะไม่มีคุณค่าเลย เพราะในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้หมดเลย อยากจะเหาะก็ซื้อตั๋วเครื่องบินสิ อยากจะมีหูทิพย์ก็กดโทรศัพท์สิ เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์มันพิสูจน์อภิญญา ๖ ได้หมดแล้ว

แต่เรื่องเวรเรื่องกรรม วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ มันพิสูจน์ได้ด้วยการนั่งหลับตา เอาจิตแก้จิต เอาความรู้สึกของเรา เอาตัวที่เกิดเข้าไปชำระล้างมัน จิตแก้จิต ทุกข์แก้ทุกข์ ใจแก้ใจ การเกิดและการตาย เอาการเกิดและการตายเข้าไปแก้มัน เข้าไปแก้มันเนี่ยมันพิสูจน์ของมันได้อย่างงั้น แล้วเรื่องฤทธิ์เรื่องเดชเนี่ย เรื่องสิ่งที่เป็นไป มันมีของมันอยู่ แต่มันมีอย่างงั้นแล้ว มันเป็นฌานโลกีย์ นี่พูดถึงเรื่องศาสนา

ศาสนาตัวจริงของศาสนาคืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ความรู้สึกของเรา ความสุขความทุข์คือตัวของศาสนา อริยสัจ สัจจะความจริงเนี่ย ซากศพ สัตว์สตาฟมันไม่มีความสุขความทุกข์หรอก ความสุขความทุกข์มันเกิดจากคนที่ยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ เพราะมีลมหายใจเข้าออกเห็นไหม เป็นหวัดก็ทุกข์แล้ว แค่หายใจไม่ออก เป็นหวัดคัดจมูก มันก็ทุกข์ลำบากแล้ว แล้วทุกข์เนี่ยมันเป็นยังไง เนี่ยอริยสัจอยู่ทีนี้แล้วพิสูจน์มันได้ไหม พิสูจน์ของมัน เนี่ยสัจธรรมมันอยู่ที่นี่

ถ้าสัจธรรมอยู่ที่นี่ เราย้อนกลับมาที่เราเห็นไหม เนี่ยฤทธิ์เดชไม่สำคัญ สำคัญว่าเราสุขเราทุกข์ไหม แล้วย้อนกลับมาที่ตัวเราได้ไหม ก่อนที่จะย้อนกลับมาตัวเราเนี่ยมันต้องมีศรัทธามีความเชื่อ วันเนี้ยครูเขาถึงพามา พามาวัดไง หลวงปู่ฝั้นบอกว่า เข้าไปวัดคือวัดใจ เราบอกวัด วัดก็คือโบสถ์วิหาร ไม่ใช่ ข้อวัตรปฏิบัติ วัฏฏะ วัดปฏิบัติเห็นไหม การทำดีทำชั่วน่ะ การประพฤติปฏิบัติ การวัดค่าของใจไง การวัดภูมิความรู้ของใจไง ว่าใจเราดีใจเราชั่วขนาดไหน เรามีจุดยืนขนาดไหน เนี่ยวัดใจกันที่นี่

ถ้ามันวัดใจที่นี่มันจะรู้เลย ดูสิเข้ามาในวัด ถ้าไปวัดนะ ครูบาอาจารย์ท่านที่เป็นนะ เข้าวัดเนี่ยนะให้เข้าส้วม ถ้าส้วมวัดไหนยังสะอาด ถ้าในบริเวณวัดนั้นมันยังสะอาดสะอ้านอยู่ สิ่งนั่นน่ะคือข้อวัตรปฏิบัติของพระ กิจของสงฆ์ ๑๐ อย่าง กวาดลานเจดีย์ วัจกุฎีวัตร การทำความสะอาดในวัดน่ะเป็นกิจของสงฆ์ กิจของสงฆ์ ๑๐ อย่าง สงฆ์ต้องมีการกระทำ ถ้าสงฆ์ไม่กระทำแสดงว่าสงฆ์นั้นไม่ใช่พระแล้ว เพราะไม่ทำกิจของตัวเองไง

นี้พอไม่ทำกิจของตัวเอง ไปทำกิจอะไร เอ้า..ก็บริหารจัดการไง บริหารจัดการมันเกี่ยวอะไรกับอริยสัจ บริหารจัดการมันเกี่ยวอะไรกับทุกข์ บริหารจัดการมันเกี่ยวอะไรกับในใจของตัว เนี่ยวิทยาศาสตร์เจริญเห็นไหม โลกเจริญ เจริญทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าจิตของพระเรานะ อยู่ที่เรานะ กิจของสงฆ์ ถ้ากิจของสงฆ์ ในบ้านของเรานะเรารักษาบ้านของเราก่อน ในตัวของเราเรารักษาตัวของเราก่อน ในใจของเราเราทำใจของเราให้สิ้นก่อน

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเพราะชำระกิเลสในใจขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน แล้วองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เอาทฤษฎี เอาความรู้อันนั้นน่ะ แต่เสิม องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ขึ้นมา ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีทฤษฎี ไม่มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่มีอริยสัจ ไม่มีความจริง ก็ไปทำฌานโลกีย์กันไง ไปฌานโลกีย์กัน ไปรับรู้สิ่งต่าง ๆ พอจิตออกรู้สิ่งต่าง ๆ โอ๋ย มีฤทธิ์มีเดช มีความรู้ ไม่ใช่ศาสนาเลย ไม่ใช่ !

จนองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ย้อนกลับมาที่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเนี่ย แล้วพอตรัสรู้ขึ้นมาขึ้นที่นี่เห็นไหม เพราะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เอาสิ่งนี้ไปสอนปัญจวัคคีย์ เอาสิ่งนี้ไปสอนยสะ ๕๔ องค์นะพอสอนเสร็จเป็นพระอรหันต์หมดเลย เนี่ย ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเราทั้ง ๖๐ องค์พ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ คือความรู้จากภายใน บ่วงที่เป็นทิพย์ เนี่ยรู้เรื่องจิตวิญญาณต่าง ๆ บ่วงที่เป็นทิพย์ กับบ่วงที่เป็นโลก ที่เขายกยอปอปั้น เขาเห่อเหิมกันน่ะ เขาอยากได้หน้าได้ตากัน บ่วงที่เป็นโลก คือมารยาสาไถย บ่วงที่เป็นโลกเห็นไหม อยากมีชื่อเสียง อยากดัง อยากใหญ่เนี่ยเป็นบ่วงทั้งนั้นน่ะ บ่วงรัดคอ ถ้าเธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลก และบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงอย่าไปซ้อนทางกัน ๖๐ องค์ให้แยกกันไป เพราะโลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้ต้องการข้อเท็จจริงจากใจนั้น

จะบอกว่าถ้ารู้ความจริงขึ้นมาแล้ว เราเป็นคนรู้ขึ้นมาคนเดียวเห็นไหม เราสามารถสอนคนอื่นได้มหาศาลเลย แต่การศึกษา เราศึกษาวิทยาศาสตร์ เราศึกษาทฤษฎีขึ้นไป ศึกษาทางโลก ศึกษาเรื่องสสาร เรื่องความเป็นไปของวิทยาศาสตร์ อันนี้มันเป็นความเจริญของโลก ไม่รู้ไม่ได้นะ ยิ่งเด็กรุ่นใหม่เนี่ย คอมพิวเตอร์ทำไม่เป็นนะไม่มีงานทำแล้ว อย่างวิทยาศาสตร์ต้องศึกษา ต้องรู้ แต่เราต้องเข้าใจว่านี้เป็นเรื่องโลก มันเป็นไฟ มันเป็นของร้อน

แต่ถ้าเป็นธรรมะ มันเป็นความร่มเย็นเห็นไหม ไอคิว อีคิว ไอคิวคือวิทยาศาสตร์ คือความรู้ที่เรา.. อีคิวเห็นไหมเรายับยั้งชั่งใจได้ขนาดไหน เรายับยั้งชั่งใจได้เนี่ยคือธรรมะ ธรรมะจะยับยั้งเรานะ เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เนี่ยสิ่งนี้เอามาประดับใจไว้ เอามาศึกษาไว้เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ เพราะว่าให้เห็นว่ามาวัดแล้วมันจะได้ประโยชน์ไง เราว่าไปวัดไปทำไม ไปวัดเห็นไหม ทางโลกเขาว่าอยู่บ้านดีกว่า ไปวัดมีแต่เสีย ไปวัดมีแต่ต้องเสียสละอย่างเดียว

เพราะการเสียสละนั่นน่ะ เราไปเห็นที่วัตถุ แต่ไม่เห็นกันว่าการเสียสละนั้นน่ะ ใครเป็นคนเสียสละ หัวใจต่างหากเสียสละ ของไม่มีชีวิตนะ ของมันตระหนี่ไม่เป็น ของมันไม่เคยเรียกร้องให้ไปอยู่กับใคร แต่หัวใจที่มันตระหนี่สิ ถ้าหัวใจที่เป็นสาธารณะ ของมากมายขนาดไหนมันจะเจือจานสังคมให้ร่มเย็นเป็นสุข แต่จิตใจที่มันตระนี่นะ ของมีมากแค่ไหนมันไปกวาดต้อนเข้ามาเป็นของคน ๆ เดียว

แต่ถ้าหัวใจเป็นสาธารณะเห็นไหม ของมีมากแค่ไหนเราจะเจือจานกัน น้ำขวดเดียว เดี๋ยวไปตากแดดเดี๋ยวจะรู้ว่าน้ำขวดเดียวจะมีคุณค่าแค่ไหน เดี๋ยวไปตากแดดเดี๋ยวจะหิวน้ำ กระหายน้ำมาก แล้วได้ดื่มน้ำจากใครเนี่ยจะรู้ถึงว่ามันเป็นประโยชน์แค่ไหน นี่ไงถ้าจิตใจเป็นธรรม จิตใจเป็นธรรมเห็นไหม มันจะเป็นประโยชน์กับสาธารณะ ถ้าใจของเราประพฤติปฏิบัติ ย้อนกลับมาที่นี่ ศาสนาสอนอย่างนี้ แต่! แต่เรื่องโลกต้องศึกษาต้องรู้ ต้องรู้

ทีนี้ว่าหลวงตาท่านสอนอย่างนี้ ท่านบอกคนเรามีสองตา ตาหนึ่งคือตาโลก อีกตาหนึ่งคือตาธรรม ตาธรรมคือว่ารู้จักชีวิตของเรา รู้จักความสุขความทุกข์ของเรา รู้จักจุดยืนของเรา อีกตาหนึ่งคือทางโลกเห็นไหม ต้องมีทางวิชาการ เราต้องมีจุดยืนในสังคม เราต้องมีการแข่งขัน เราต้องสู้กับเขา เห็นไหมเวลาไปศึกษาตะวันตกเห็นไหม ไป เราต้องไปเรียน เราไปเรียนขึ้นมาเห็นไหม เราไปเอาสิ่งที่ดี ๆ มา แต่ตอนนี้ไปเรียนมานะ ดีก็เอามาด้วย ขยะก็เอามาด้วย ตอนนี้มีแต่ขยะมานะ

ของที่ดีดีนะ ถ้าทางศีลธรรม วัฒนธรรม เวลาทางตะวันตกเขามาเที่ยวตะวันออก เขามาเที่ยวอะไร เขามาเที่ยววัฒนธรรมประเพณีของเรานะ เขาไม่มี เขามาเที่ยววัฒนธรรมประเพณี แต่ของเราอยู่กันคุ้นชิน เราไม่เห็นคุณค่าของมัน ถ้าเราเห็นคุณค่าของมันนะ สิ่งนี้มันเกิดมาจากใคร มันเกิดมาจากปู่ย่าตายายสะสมมา มันตกผลึกเข้ามาในหัวใจของเรา ประเพณีวัฒนธรรม เขามาเที่ยววัฒนธรรมกัน เขาไม่มาดูวัตถุหรอก วัตถุของเขาเจริญ เขามีอยู่แล้ว แต่วัตถุมันคือไฟ มันเร่าร้อน มันเผาเรานะ แต่ถ้าเรามีคุณงามความดีของเรา มีวัฒนธรรมของเรา อันนี้เราต้องศึกษา เราต้องมีจุดยืนของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ

เนี่ยวัด นี่พูดถึงพ่อถึงแม่ ถึงชีวิต ถึงธรรมะไง ธรรมะมีคุณประโยชน์ยังไง โลกมีประโยชน์อะไร โลกก็มีประโยชน์เห็นไหม กามคุณ ๕ กามเป็นคุณ ถ้าไม่มีกามคุณ ๕ รูป รส กลิ่น เสียง มันจะมีมนุษย์ไหม มันจะมีคนไหม มันจะมีการรักษาเผ่าพันธุ์ไหม เนี่ยกามคุณ ๕ แต่พอมาถือพรหมจรรย์เนี่ย กามคุณ ๕ เป็นโทษละ เพราะกามคุณ ๕ เป็นเรื่องของโลก พรหมจรรย์ไง พรหมจรรย์เป็นเนกขัมมะบารมี เพื่ออยู่คนเดียวโดยหลักคนเดียว ไม่ใช่คู่ เนี่ยเป็นพรหมจรรย์ แล้วพรหมจรรย์จะอยู่ต่อไปได้ยังไงให้สิ้นสุดขบวนการของมัน

มันทำได้จากการศึกษา มันทำได้จากการที่เราสนใจ ถ้าเราไม่สนใจ ศรัทธาความเชื่อ ไม่มีศรัทธาความเชื่อมันจะไม่เปิดโอกาสให้เราได้เกิดการกระทำ ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ศรัทธาความเชื่อเป็นหัวรถจักรดึงให้เราเข้ามาศึกษา ศึกษาขึ้นมาถูกผิดในหัวใจของเรา เราแก้ไขของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เราจะโตขึ้นไปข้างหน้านะ เห็นไหมรถรับส่งนักเรียนเขาเขียนไว้เลยนะ นายกตัวน้อย ๆ นั่งอยู่ในนี้ เราฝากอนาคตไว้กับเด็ก

แต่เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ท่านไม่ว่าเด็ก ท่านว่าผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็ก สิ่งใดก็แล้วแต่จะไปแก้ไขกันที่เด็ก ไม่แก้ไขกันที่ผู้ใหญ่เลย ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างของเด็ก เป็นแม่พิมพ์ เป็นแม่แบบของเด็ก ผู้ใหญ่ก็ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง แต่เวลามีปัญหาในสังคม ต้องไปแก้ไขกันที่เด็ก จะไปเปลี่ยนหลักสูตร แก้กันที่เด็กเห็นไหม แล้วว่าพูดถึงเวลาว่า เนี่ยเวลาการศึกษาต้องเอาเด็กเป็นที่ตั้ง เราบอกถ้าเอาเด็กเป็นที่ตั้งนะ เอาเด็กเป็นศูนย์กลาง ถ้าเอาเด็กเป็นศูนย์กลางก็ขวดนมไง เด็กมันจะกอดขวดนม มันจะกินนมนั้นน่ะ มันไม่โตมาหรอก

จะเอาเด็กเป็นที่ตั้ง เราจะสอนเค้า เราก็ต้องมีวิชาการของเรา ถ้าเอาเด็กเป็นที่ตั้ง เด็กมันจะศึกษาอะไรของมัน ผู้ใหญ่ต้องมีหลักมีเกณฑ์แล้วพยายามสอน พยายามเป็นตัวอย่าง เห็นไหมเด็กไม่ควรทำสิ่งใดใดเลย เด็กทำผิด ๆ หมด ผู้ใหญ่ทำไม่ผิด แล้วเด็กมันก็อึดอัดเห็นไหม เวลาพ่อแม่รักลูกมาก ลูกรักพ่อแม่มาก แต่มุมมองวัยวุฒิ มันต่างกันโดยวัย แต่ถึงเวลาแล้วมันจะไปเหมือนกันตอนแก่ชราภาพ ไปเหมือนกันตอนนั้น ทีนี้พอโตขึ้นมาแล้ว เราต้องแก้ไขของเรานะ

นี้พูดปูพื้นมา พูดกับผู้ใหญ่ไม่ให้เกินชั่วโมงนึง เพราะจะตั้งสมาธิไม่ได้ เด็กเล็ก ๆ เนี่ยไม่ให้พูดเกินสิบนาที เดี๋ยวมันทนไม่ได้ มันนั่งไม่ได้ นี่ครึ่งชั่วโมงแล้วเนาะ เอวัง